
“อยากให้ทุกคนอยู่กับตัวเอง เรียนรู้และทำความรู้จักตัวเอง ให้เวลากับตัวเองให้มากที่สุด แล้วจะรู้ว่าเราชอบอะไร เราต้องการอะไร แล้วทำมันได้อย่างเต็มที่” นิยามการใช้ชีวิตของนายศรัณย์ นักสอดสี หรือ เล็ก ดาวิกา ศิษย์เก่าสาขาวิชาภาษาจีน วิทยาลัยศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
“เมื่อเราโตขึ้น สิ่งที่เราตั้งใจ หรือฝันเอาไว้ในตอนเด็ก ก็อาจพลิกผัน เปลี่ยนแปลงไป สมัยเรียนมัธยม เล็กอยากเรียนนิเทศ อยากเป็นหลีดสวยๆ แต่สิ่งที่เลือกเมื่อโตขึ้นก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวังไว้ เล็กเลยต้องเริ่มลำดับความอยากเป็น อยากเรียนใหม่ และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เป็นเล็ก ดาวิกา ในตอนนี้ สิ่งที่เล็กอยากบอกก็คือ ตอนนั้นอยากเรียนสายนิเทศศาสตร์ แต่ก็มีเรื่องราวให้สะดุดนิดหน่อยเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยที่ฝัน โชคดีที่เล็กคุยกับตัวเองบ่อย และรู้ว่าเราจะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ หรือต้องตัดสินใจใหม่ อะไรอย่างไรบ้าง ถามว่าพอเราเลือกมหาวิทยาลัยรังสิต ก็เรียนนิเทศได้นะ”
ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เล็กมีความตั้งใจอยากเรียนต่อคณะนิเทศศาสตร์ และอยากเป็นหลีดจุฬา แต่เส้นทางกลับไม่ได้เป็นไปตามที่หวังไว้ ทำให้ต้องเริ่มมองหามหาวิทยาลัยเอกชนที่สามารถเติมเต็มความฝันเหล่านั้นได้ มหาวิทยาลัยรังสิตจึงกลายเป็นคำตอบที่ลงตัว เล็กเล่าว่า

“เล็กกำลังมองหามหาลัยดีๆ สักที่หนึ่งอยู่ วันนั้นขับรถผ่านหน้า ม.รังสิต พอดีเลยโทรหาเพื่อนสนิทที่เรียนออกแบบผลิตภัณฑ์ที่นี่ จนวันที่มาสมัครเรียน ตอนนั้นเราตื่นตาตื่นใจมาก ได้รับการต้อนรับจากอาจารย์เป็นอย่างดี เรารู้สึกว่า Nice มาก ตอนแรกเราคิดว่าจะสมัครเข้านิเทศศาสตร์ แต่ก็คิดคิดขึ้นมาว่านิเทศมันต้องเกี่ยวกับภาพยนตร์ ซึ่งเราไม่ได้อินกับภาพยนตร์ขนาดนั้น เราจบศิลป์-ญี่ปุ่นตอน ม.ปลาย หรือเราจะลองไปแนวภาษาญี่ปุ่นดี ทำให้สนใจเกี่ยวกับการบิน วิทยาลัยการท่องเที่ยว ก็ลองปรึกษาพ่อแม่ดู แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างสุดท้ายกลายเป็นว่าเราต้องมาถามตัวเองอีกครั้งว่าเราเรียนภาษามาหรือเราจะต่อยอดภาษาให้มันจบไปแล้วค่อยเรียนโทนิเทศ ก็ได้อาจารย์ยุ้ยเขาแนะนำเป็นเอกจีน ตอนนั้นมีโครงการเรียนไทย 2 ปี เรียนจีน 2 ปี รับปริญญา 2 ใบ เรารู้สึกว่าน่าสนใจ และภาษาจีนเรายังไม่เคยเรียน บวกกับพ่อกับแม่บอกว่าภาษาจีนก็ดีนะอย่างน้อยมันก็ต่อยอดได้หลายอย่าง เราเลยเลือกเรียนภาษาจีนตอนนั้น ซึ่งเราไม่กลัวที่จะเรียนภาษาจีนเลย เพราะอะไรหลายๆอย่างมัน Click เรามีประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อน ทำให้รู้ว่าจะต้องเรียนภาษาอื่นๆยังไง อาจารย์เขาก็ใสใจนักศึกษา พอเขารู้ว่าเราอ่อนภาษาจีนเขาเต็มที่กับเรามาก นี่คือข้อดีของภาคภาษาจีน ม.รังสิต เขาช่วยแบบเต็มที่จนกลายเป็นว่าเราชอบเรียนวิชานี้ไปเลย”

การแบ่งเวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก เล็กเป็นคนตั้งใจเรียนมาก แต่จะไม่กดดันตัวเองมากไป การเรียนคือหน้าที่ที่พ่อแม่ส่งเรามาเรียน กิจกรรมคือส่วนประกอบในการใช้ชีวิตมหาลัย เราเรียนเสร็จตกเย็นก็ทำกิจกรรม โดยที่ไม่พูดถึงเรื่องเรียนเลย เพราะเราแบ่งเวลาแล้ว เวลาเรียนก็เรียน กิจกรรมก็ทำกิจกรรม จะพยายามให้แยกกัน เล็กเล่าเพิ่มว่า ชอบทำกิจกรรมตั้งแต่ ม.ปลาย แต่คิดว่าเข้ามหาลัยจะเรียนอย่างเดียวไม่ทำกิจกรรมดีกว่า จนมาเข้ากิจกรรมรับน้องปี 1 เขาให้เราเต้นเราใส่เลยวันแรก โอ้โห เรารู้สึกว่ามันสนุกมาก เราชอบเต้นด้วย จนได้เป็น “หลีดคณะ” ได้เจอรุ่นพี่ Enjoy สนุกสนานมาก สมัยนั้นก็ยังมีพี่ว๊ากอยู่ แบบใส่เนคไทต้องยกมือไหว้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ในยุคนั้น พอเวลาผ่านไปก็เริ่มปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย สำหรับการเปิดรับ LGBTQ ตอนนั้น เราไม่เคยเจอปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเพศเลย ด้วยความที่เราเกิดมาในครอบครัวที่เปิดรับและคอย Support ตลอด ที่ ม.รังสิต ทุกคนสามารถแสดงออกถึงตัวตนได้อย่างอิสระโดยไม่มีข้อจำกัด เราไม่เคยเจอปัญหาการโดนเหยียด มันกลมกล่อม ทำงานด้วยกันได้ รับฟังความคิดเห็นกัน ไม่เคยเจอปัญหาอะไรแบบนี้เลย ม.รังสิต เขาโดดเด่นในเรื่องของการเปิดรับ LGBTQ มากกว่า 10 ปี ไม่ว่าจะเพศอะไรทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด ไม่ใช่แค่ศิลปศาสตร์ แต่ทุกอย่างมันเปิดรับกันหมดเลย

หลังจากจบการศึกษา เล็กเริ่มต้นเส้นทางอาชีพด้วยการสมัครงานกับ “น้าเน็ก” และผ่านการสัมภาษณ์ตั้งแต่รอบแรกจนได้รับตำแหน่ง Creative เข้างานวันแรกก็ได้ใช้ภาษาจีนเลย ได้ออกทีวีช่อง ONE แม้เราจะไม่ได้จบนิเทศศาสตร์มา แต่แน่นอนว่าประสบการณ์จากการทำกิจกรรมของคณะศิลปศาสตร์แน่นพอๆ กับนิเทศเลย หลังจากทำงานไปสักพักหนึ่งก็ต่อยอดไปเรื่อยๆ จนได้เล่นซีรีส์ เป็นพิธีกร จากการทำงานกับน้าเน็กและจากการทำงานกับมหาลัย มันสามารถ Adapt และทำให้เราได้รางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ตอนนั้นน้าเน็กชวนไปออกรายการ Take Guy Out เขาบอกว่าเราต้องมีชื่อขึ้นบาร์ เราก็คิดว่าจะชื่ออะไรดี แล้วก็ไปเห็นโปสเตอร์แม่นาคที่ ใหม่ ดาวิกา เล่นอยู่ เขาก็เรียน ม.รังสิต เหมือนกันกับเรา ก็เลยได้ชื่อ เล็ก ดาวิกา มาใช้จนถึงทุกวันนี้
การทำงานวงการบันเทิงเริ่มแล้วหยุดไม่ได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวหลายๆอย่าง แต่เราไม่ได้มองว่ามันยาก เพราะมันเป็นสิ่งที่เราชอบ ถึงแม้เราไม่ได้เรียนนิเทศตามที่อยากเรียน แต่เรารู้สึกว่ามันสามารถเติมเต็มสาขาวิชาที่เราเรียนแล้วสามารถเอาไปต่อยอดกับการทำงานได้ มันทำให้เรารู้สึกว่าเรามีความสุขกับการทำงาน ถ้าถามว่ายากสุดคืออะไร คงเป็นการแสดงที่ต้องร้องไห้ ไม่ได้จริงๆ
เล็กทิ้งท้ายไว้ว่า สมัยนี้คนเราจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความ Privacy เราไม่สามารถที่จะไปตีกรอบให้ใครได้ คนเราเติบโตมามีพื้นฐานชีวิตที่ไม่เหมือนกัน อยากให้ทุกคนอยู่กับตัวเอง เรียนรู้กับตัวเอง ให้เวลากับตัวเองให้มากที่สุด ลองใช้ประสบการณ์ชีวิตของตัวเองค้นหาว่าเราชอบอะไร เราสนใจเรื่องอะไร หรือถ้าเป็นตัวเองแล้วมันไม่ได้ลองเป็นคนอื่นดู ถ้าเป็นคนอื่นแล้วเราชอบไหม ถ้าไม่ชอบก็กลับมาเป็นตัวเองดีกว่า
*************





ใส่ความเห็น